ม่อนหมอกตะวัน เปิดประสบการณ์ ชมทะเลหมอกสุดจึ้ง

ม่อนหมอกตะวัน จุดชมทะเลหมอกสุดอลังการแห่งอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ท่ามกลางวิวขุนเขา เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกในยามเช้าสดใส รวมทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงาม มองเห็นวิวของภูเขาที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้าดุจภาพวาด ที่นี่มีบ้านพักรวมทั้งลานกางเต้นท์ให้บริการหลายแห่ง เกือบทุกแห่งสามารถชมวิวทะเลหมอกได้จากหน้าบ้านลานกลางเต็นท์ โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาว มีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกสีขาวนวลลอยฟูฟ่องเคล้าแสงอาทิตย์ยามเช้า และมีให้เห็นเกือบทุกวันตั้งแต่เช้ายันสาย เป็นจุดชมทะเลหมอกในฝันที่คุณไม่ควรพลาด

ม่อนหมอกตะวันจุดชมทะเลหมอกเมืองตาก

ม่อนหมอกตะวัน ตั้งอยู่ในบ้านป่าหวาย อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ไม่ไกลจากน้ำตกป่าหวาย เดิมเป็นพื้นที่ทางการเกษตรของขาวไทยภูเขาเผ่าม้ง มีสภาพอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะยิ่งมีความหนาวเพิ่มขึ้น มาเที่ยวม่อนหมอกตะวัน คือ การมาพักยังที่พักและชมทะเลหมอกจากหน้าบ้านมีที่พักและร้านอาหาร ร้านกาแฟขนาดเล็กให้บริการ  เป็นดอยที่สามารถชมวิวทะเลหมอกได้เกือบทุกจุด ไม่ว่าจะอยู่ตรงมุมไหน สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูกาลท่องเที่ยวชมทะเลหมอกเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จะมีทะเลให้เห็นแบบฟูแน่น ส่วนฤดูหนาวทะเลหมอกอาจไม่เยอะเท่าช่วงปลายฝนต้นหนาว

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ อยู่ยอดดอย บ้านป่าหวาย

เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นของราษฎรในหมู่บ้านที่ครอบครองมานาน มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ อยู่บนยอดเขา มีความสูง1,100 เมตร เต็มไปด้วยทะเลหมอกที่สวยงามในช่วงเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกยามเย็น สภาพอากาศมีลมพัดเย็นสบาย แต่ในฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก หรือ แม้แต่ปัจจุบัน ก็มีนักท่องเที่ยวในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดไปกางพักนอนค้างคืนกัน  ซึ่งชาวเขาอย่างพวกเราได้ช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ ด้วยสถานที่พัก การบริการเต้นท์ บริการอาหารเครื่องดื่ม อย่างเช่น หมูกระทะ ปลาเผา ฯลฯ

ไฮไลค์ของการเที่ยว ม่อนหมอกตะวัน

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวม่อนหมอกตะวันคือ ชมทะเลหมอกยามเช้า ภายในชุมชนมีถนนทางเดินตรงกลาง ตั้งแต่ทางเข้าไปจนสุดปลายทาง ระหว่างทาง คือ ที่พักร้านอาหารของที่พัก สามารถเดินทอดน่องชมวิวตลอดทางในระยะทางไม่ไกล และแวะถ่ายรูปได้เกือบทุกแห่ง  เห็นภาพแล้วมีความรู้สึกเหมือนภูทับเบิกมากๆ แต่ที่พักยังไม่เยอะเท่า แต่ในอนาคตคล้ายแน่นอน เพราะยังมีที่พักที่กำลังสร้างใหม่อีกหลายแห่งไว้รับรองนักท่องเที่ยวที่ตะแห่กันมาพักผ่อนหยอกใจกันที่บนดอย

กินลมชมทะเลหมอกที่ ม่อนหมอกตะวัน

ม่อนหมอกตะวันแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของ จังหวัดตาก ใน อำเภอพบพระ จุดชมวิวทะเลหมอก ที่สวยงามมากๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาตอนเช้า ด้วยความที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีความสูงกว่า 1,100 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามอย่างมากเลย จะเห็นได้จากไอหมอก ที่ลอยอยู่รอบๆ ม่อนหมอกตะวัน แห่งนี้ และภาพของภูเขาสูงสลับไปมาล้อมรอบ พร้อมอากาศที่บริสุทธิ์ บอกเลยว่าวิวสวยงามแบบนี้ ไม่ได้หาง่ายๆ นะคะ ที่สำคัญยังสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาด้วย เมื่อก่อนนั้นพื้นที่ตรงนี้จะเป็นพื้นที่การเกษตรของชาวเขาเผ่าม้ง ที่ใช้ทำมาหากินมานาน มีการปลูกข้าวโพด และพืชต่างๆ

ทะเลหมอก 3 ฤดู

หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ม่อนหมอกตะวันเป็นที่กล่าวขาน คือ ทะเลหมอกที่สามารถพบเห็นได้ตลอดทั้งสามฤดู ได้แก่ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน ในฤดูฝน ทะเลหมอกจะปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ สร้างบรรยากาศอันชวนฝันราวกับหลุดเข้าไปในดินแดนเทพนิยาย ในฤดูหนาว ทะเลหมอกจะรวมตัวกันหนาแน่นบริเวณแอ่งด้านตะวันออก มอบความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติก ส่วนในฤดูร้อน แม้จะมีหมอกน้อยกว่าฤดูอื่น แต่ก็ยังคงความงดงามของทะเลหมอกยามเช้าที่รอคอยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส

ฤดูร้อน (มีนาคม – พฤษภาคม)

แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่ม่อนหมอกตะวันยังคงรักษาความเย็นสบายไว้ได้ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นสถานที่หลบร้อนที่สมบูรณ์แบบ ในช่วงนี้ ทะเลหมอกยังคงปรากฏให้เห็นในตอนเช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฝนตกในช่วงปลายฤดูร้อน ความชื้นที่เพิ่มขึ้นจะก่อให้เกิดทะเลหมอกที่หนาแน่นและสวยงามเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ฤดูร้อนยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการชมดอกไม้ป่าหลากสีสันที่บานสะพรั่งทั่วบริเวณ

ฤดูฝน (มิถุนายน – ตุลาคม)

ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ม่อนหมอกตะวันได้รับน้ำฝนอย่างเต็มที่ ปริมาณน้ำฝนที่สูงทำให้เกิดทะเลหมอกที่หนาแน่นและสวยงามที่สุดในรอบปี ทะเลหมอกในฤดูฝนมีความพิเศษตรงที่มักจะปกคลุมพื้นที่เป็นเวลานาน บางครั้งอาจคงอยู่จนถึงช่วงสายของวัน นอกจากนี้ ฤดูฝนยังทำให้พืชพรรณเขียวขจีและสดชื่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินป่าและสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสภาพอากาศที่เปียกชื้นและเส้นทางที่อาจลื่น

ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์)

ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ม่อนหมอกตะวันมีอากาศเย็นที่สุด อุณหภูมิอาจลดลงถึง 5-10 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืน นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับความหนาวเย็นและทะเลหมอกที่สวยงามได้อย่างเต็มที่ในช่วงนี้ นอกจากนี้ ฤดูหนาวยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการชมดาว เนื่องจากท้องฟ้ามักจะปลอดโปร่งและไม่มีเมฆหมอกบดบัง

กิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากการชมทะเลหมอกอันงดงามแล้ว ม่อนหมอกตะวันยังมีกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น:

  • ชมทะเลหมอก: สัมผัสความงดงามของทะเลหมอกยามเช้า ที่ปกคลุมทั่วบริเวณภูเขา สร้างบรรยากาศอันน่าประทับใจและโรแมนติก นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทะเลหมอกได้จากจุดชมวิวต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้ หรือจะเลือกนั่งพักผ่อนบนลานกางเต็นท์ก็ได้เช่นกัน
  • ถ่ายภาพ: บันทึกความทรงจำอันงดงามด้วยการถ่ายภาพทะเลหมอก ภูเขา และธรรมชาติโดยรอบ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกมุมถ่ายภาพได้ตามต้องการ หรือจะถ่ายภาพกับป้ายชื่อม่อนหมอกตะวันก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
  • เดินป่าศึกษาธรรมชาติ: สำรวจเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ที่มีระยะทางและความยากง่ายแตกต่างกันไป นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง และสัมผัสความงดงามของธรรมชาติอันหลากหลาย
  • กางเต็นท์พักแรม: สัมผัสประสบการณ์การพักแรมกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ นักท่องเที่ยวสามารถนำเต็นท์มากางเอง หรือจะเช่าเต็นท์จากทางม่อนหมอกตะวันก็ได้เช่นกัน การพักแรมกลางธรรมชาติจะช่วยให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศอันบริสุทธิ์และใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
  • ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก: ชมความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน ณ ม่อนหมอกตะวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีและสร้างบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจ
  • นั่งรถ ATV: สัมผัสความตื่นเต้นและสนุกสนานกับการนั่งรถ ATV สำรวจเส้นทางธรรมชาติรอบๆ ม่อนหมอกตะวัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย
  • รับประทานอาหารท้องถิ่น: ลิ้มรสอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ ที่ร้านอาหารภายในม่อนหมอกตะวัน ซึ่งมีเมนูหลากหลายให้เลือกสรร
  • พักผ่อนและสูดอากาศบริสุทธิ์: สัมผัสความเงียบสงบและผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด และหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง
  • ทำกิจกรรมกลุ่ม: สร้างความสนุกสนานและความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวด้วยการทำกิจกรรมกลุ่มต่างๆ เช่น เล่นเกมส์ ร้องเพลง หรือทำอาหารร่วมกัน
  • เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น: สัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและมีคุณค่า

การเดินทางไปม่อนหมอกตะวัน

การเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ม่อนหมอกตะวันสามารถทำได้โดยรถยนต์ส่วนตัว โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) มุ่งหน้าสู่จังหวัดตาก ระยะทางประมาณ 480 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร

เมื่อถึงตัวเมืองตาก ให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่อำเภอแม่สอด จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1090 ตรงไปยังอำเภอพบพระ เมื่อเลยน้ำตกพาเจริญไปไม่ไกล จะพบป้ายบอกทางไปน้ำตกป่าหวาย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามเส้นทาง ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านป่าหวาย จากนั้นขับรถขึ้นม่อนหมอกตะวันอีกประมาณ 2 กิโลเมตร

สภาพเส้นทางและการเตรียมตัวไปชมหมอกขาวๆ

เส้นทางสู่ม่อนหมอกตะวันส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยางสลับกับถนนคอนกรีต อย่างไรก็ตาม ช่วงสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายปลายทางจะเป็นทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างลาดชันและคดเคี้ยว ผู้ขับขี่ควรมีความชำนาญในการขับรถขึ้นเขาและตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่สูง อุณหภูมิจะค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว นักท่องเที่ยวควรเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวให้พร้อม นอกจากนี้ ควรเตรียมยาประจำตัวและอุปกรณ์กันแดดให้พร้อมเสมอ ม่อนหมอกตะวันสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงปลายฝนต้นหนาว (ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) เนื่องจากจะมีทะเลหมอกหนาแน่นและสวยงามมากที่สุด

ดินแดนแห่งความชุ่มฉ่ำและทะเลหมอกตลอดปี

ม่อนหมอกตะวันอัญมณีแห่งขุนเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยทิวทัศน์ที่งดงามและสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี แต่สิ่งที่ทำให้ม่อนหมอกตะวันมีความพิเศษอย่างแท้จริงคือสภาพภูมิอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ทะเลหมอกที่ปกคลุมทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นฤดูใดก็ตาม บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสภาพภูมิอากาศอันน่าทึ่งของม่อนหมอกตะวันตลอดทั้งปี ไม่ว่าคุณจะมาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือมาเป็นกลุ่ม มีกิจกรรมหลากหลายที่ตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างลงตัว หากคุณกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เงียบสงบและสวยงาม ม่อนหมอกตะวันคือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ

ปัจจัยที่ทำให้ ม่อนหมอกตะวัน มีอากศดีตลอด

  • สภาพภูมิประเทศ: ตั้งอยู่ในหุบเขาสูง ทำให้เกิดการสะสมของอากาศเย็นและความชื้นในเวลากลางคืน เมื่ออุณหภูมิในตอนเช้าลดลง ความชื้นเหล่านี้จะควบแน่นกลายเป็นละอองน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก ลอยตัวขึ้นและก่อให้เกิดทะเลหมอก
  • ป่าไม้: ป่าไม้รอบๆ มีบทบาทสำคัญในการรักษาความชื้นในอากาศ ต้นไม้จะคายน้ำออกทางใบ ซึ่งจะเพิ่มความชื้นในบรรยากาศและช่วยให้เกิดทะเลหมอกได้ง่ายขึ้น
  • ลม: ลมที่พัดผ่านบริเวณมักจะมีความเร็วต่ำ ซึ่งช่วยให้ละอองน้ำที่ก่อตัวเป็นทะเลหมอกคงอยู่ได้นานขึ้น

Leave a Comment